แชฟฟ์เลอร์ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภาคธุรกิจยานยนต์และอุตสาหกรรมระดับโลก ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับมหาวิทยาลัยบูรพา ในการขับเคลื่อนศูนย์การเรียนรู้ อีอีซี ออโตเมชั่น พาร์ค (EEC Automation Park) เพื่อสร้างความร่วมมือด้านการพัฒนาการศึกษาและทักษะส่วนบุคคลเกี่ยวกับระบบโรงงานอัตโนมัติ รวมทั้งเสริมความแข็งแกร่งให้กับเทคโนโลยีตรวจสอบสภาพตลับลูกปืนในประเทศไทย
นายเดวิด เนวิน ประธานอุตสาหกรรม บริษัท แชฟฟ์เลอร์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ประเทศไทยกำลังเตรียมพร้อมที่จะเป็นแหล่งสร้างนวัตกรรมต่อไปในภูมิภาคนี้ เนื่องจากต้องการเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ผ่านความคิดริเริ่มเชิงกลยุทธ์ของ Thailand 4.0 จึงเกิดความร่วมมือระหว่างแชฟฟ์เลอร์และมหาวิทยาลัยบูรพา ที่จะช่วยให้เพิ่มประสิทธิภาพเทคโนโลยีและโซลูชั่นการตรวจสอบสภาพตลับลูกปืนของเรา ในขณะเดียวกันก็ให้ทรัพยากรที่จำเป็นในการหล่อเลี้ยงแรงงานรุ่นต่อไป เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมตามมาตรฐานอุตสาหกรรม”
“การขับเคลื่อนอนาคตที่ดีกว่าด้วยการทำงานร่วมกัน โดยศูนย์การเรียนรู้ อีอีซี ออโตเมชั่น พาร์ค (EEC Automation Park) ตั้งอยู่บนทำเลยุทธศาสตร์ที่เป็นฐานเศรษฐกิจภาคตะวันออกของประเทศไทย ทำหน้าที่เป็นศูนย์พัฒนาทักษะและถ่ายทอดเทคโนโลยีสำหรับระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรม โดยศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้จะรวมเครือข่ายพันธมิตรที่สนับสนุนการขับเคลื่อนของประเทศไทยในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งได้ร่วมมือกับ Mitsubishi Electric และ Japan External Trade Organisation เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมทางเทคโนโลยีในพื้นที่ด้วย”
นายไพบูลย์ ลิ้มปิติพานิชย์ ผู้อำนวยการ อีอีซี ออโตเมชั่น พาร์ค และหัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพากล่าวว่า ในขณะที่ประเทศไทยมีการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้น ความร่วมมือของเรากับแชฟฟ์เลอร์ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรที่มีความสามารถที่จำเป็น เพื่อเชื่อมช่องว่างของการใช้ข้อมูลระหว่างเทคโนโลยีระดับปฏิบัติการและเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้วยแนวทางปฏิบัติจริงและการจัดหาแพลตฟอร์มสำหรับนำเทคโนโลยีไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ดังนั้นศูนย์การเรียนรู้ อีอีซี ออโตเมชั่น พาร์ค จึงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ดีกว่าผ่านระบบดิจิทัลและระบบอัตโนมัติ
ทั้งนี้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิด อีอีซี ออโตเมชั่น พาร์ค ศูนย์การเรียนรู้และพัฒนากำลังคนด้านออโตเมชั่นและหุ่นยนต์เสริมสร้างทักษะเพื่อยกระดับเทคโนโลยีการผลิตในประเทศไทยก้าวสู่ Industry 4.0 อย่างเป็นทางการ พร้อมผู้แทนจากเครือข่ายพันธมิตรและบริษัท แชฟฟ์เลอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ด้วย
การเข้าถึงผู้มีความรู้ความสามารถที่มีคุณสมบัติสูงนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญสำหรับบริษัทต่างๆ ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน ตามรายงานของ Future of Jobs โดย World Economic Forum เปิดเผยว่า กว่า 47% ของพนักงานทั้งหมดทั่วโลกจะต้องได้รับการฝึกฝนใหม่จนถึง ปี พ.ศ. 2568 นอกจากนี้ การวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าครึ่งชีวิตของทักษะที่เรียนรู้นั้นคาดว่าจะอยู่ที่ห้าปีและสั้นกว่านั้นสำหรับทักษะทางเทคนิค ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่มืออาชีพทุกคนจะต้องทุ่มเทให้กับการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ด้าน นางสาวลอรา ฮับกา ผู้จัดการของแชฟฟ์เลอร์ อคาเดมี ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “วัฏจักรนวัตกรรมที่สั้นลง รวมทั้งความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีนั้น หมายความว่าความรู้จะล้าสมัยได้อย่างรวดเร็ว แชฟฟ์เลอร์พร้อมที่จะลงทุนและร่วมมือกับพันธมิตรสถาบันการศึกษาต่างๆ เพื่อนำความรู้มาสู่ผู้บุกเบิก เพื่อช่วยกำหนดอนาคตของการขับเคลื่อนเทคโนโลยีให้ก้าวหน้าต่อไป”
แชฟฟ์เลอร์ กรุ๊ป – We pioneer motion
ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภาคธุรกิจยานยนต์และอุตสาหกรรมระดับโลก แชฟฟ์เลอร์ กรุ๊ป ได้ขับเคลื่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ สำหรับภาคอุตสาหกรรมและยานยนต์มามากกว่า 70 ปี ด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์และบริการที่ทันสมัย ในด้านการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมดิจิตอล 4.0 และพลังงานหมุนเวียน ทำให้แชฟฟ์เลอร์เป็นหุ้นส่วนธุรกิจที่มีความน่าเชื่อถือในด้านการจัดหาผลิตภัณฑ์และบริการด้านอุตสาหกรรมและยานยนต์ที่มีประสิทธิภาพ ชาญฉลาด และยั่งยืน เราผลิตชิ้นส่วนและระบบที่มีความแม่นยำสูงสำหรับระบบขับเคลื่อน (drive train) และระบบช่วงล่าง (แชสซี) รวมถึง ตลับลูกปืนหลายชนิด เหมาะสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท แชฟฟ์เลอร์ กรุ๊ป มียอดขายประมาณ 1.26 หมื่นล้านยูโรในปี พ.ศ. 2563 โดยเป็นหนึ่งในบริษัทครอบครัวที่ใหญ่สุดในโลก ด้วยจำนวนพนักงานมากถึง 83,300 อีกทั้งจากข้อมูลของ DPMA (สำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าเยอรมนี) แชฟฟ์เลอร์เป็นบริษัทที่มีการพัฒนานวัตกรรมมากสุดเป็นอันดับสอง โดยมีการยื่นขอจดสิทธิบัตรไปมากกว่า 1,900 รายการในปี พ.ศ. 2563