กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) กระ ทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เผยโควิด-19 ในเด็กยังน่าห่วง ยอดติดเชื้อพุ่ง 1.4 แสนคน 80% มาจากครอบครัวยากจน ด้อยโอกาส ขณะที่เด็กกำพร้ายังเพิ่มทุกวัน ล่าสุด 369 คน สามจังหวัดชายแดนใต้สูงสุด ศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 เปิดรับอาสาสมัคร – ผู้เคยติดเชื้อที่มีประสบการณ์ เสริมทัพดูแลเด็กป่วย/เสี่ยงสูง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และอาสาเลี้ยงดูเด็กในครอบครัวอุปถัมภ์ พร้อมเร่งเยียวยาให้เด็กกำพร้าได้รับการดูแลโดยครอบครัวที่ปลอดภัยเร็วที่สุด และเสนอมาตรการให้เด็กกำพร้าจากโควิดทุกกรณีเรียนฟรีจนถึงระดับอุดมศึกษา
เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึก ษา (กสศ.) กรมสุขภาพจิตและองค์การยูนิเซฟประเทศไทย แถลงข่าวเรื่อง ‘สถานการณ์เด็กติดเชื้อ เด็กกำพร้า ผล กระทบจากโควิด-19 และการเยียวยาฟื้นฟู’
นางสุภัชชา สุทธิพล อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบในวงกว้าง กลุ่มเด็กยังคงจำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลโควิด-19 พบมีเด็กติดเชื้อสะสมตั้งแต่ 1 มกราคม – 4 กันยายน 2564 จำนวน 142,870 คน แบ่งเป็น กทม. 31,111 คน และภูมิภาค 111,759 คน โดยยังคงติดเชื้อรายวันมากกว่า 2,000 ราย ที่สำคัญผู้เสียชีวิตเฉลี่ยรายวันยังคงขึ้นลงมากกว่า 200 รายต่อวัน ซึ่งหากผู้เสียชีวิตเป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กก็จะส่งผลให้มีเด็กกำพร้าเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวง พม. ร่วมกับศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 ได้มีการช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฯ ตั้งแต่ 1 มกราคม – 4 กันยายน 2564 จำนวนทั้งสิ้น 9,565 คน
สำหรับกลุ่มเด็กกำพร้า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใย ได้มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำรวจข้อมูลตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม – 4 กันยายน 2564 พบ เด็กกำพร้าจำนวน 369 คน โดยกำพร้าบิดามากที่สุด 180 คน กำพร้ามารดา 151 คน กำพร้าทั้งบิดาและมารดา 3 คน และกำพร้าผู้ปกครอง 35 คน ภาคใต้พบเด็กกำพร้ามากที่สุด 131 ราย ร้อยละ 71.54 อยู่ในช่วงอายุ 6 – 18 ปี และร้อยละ 33.06 เป็นเด็กที่เรียนชั้นประถมศึกษา
ปัจจุบันเด็กกำพร้า 369 คน ได้รับการดูแลในรูปแบบครอบครัว 367 คน (โดยอยู่กับพ่อหรือแม่ 231 คน อยู่กับครอบครัวเครือญาติ 133 คน และอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์อาสาสมัคร 3 คน) และอยู่ในบ้านพักเด็กและครอบครัว/สถานสงเคราะห์เพื่อจัดหาครอบครัวทดแทน 2 คน โดยได้รับการช่วยเหลือเฉพาะหน้า ได้แก่ ให้คำปรึกษาเบื้องต้น 369 ราย มอบถุงยังชีพ/เครื่องอุปโภคบริโภค 209 ราย จ่ายเงินสงเคราะห์/เงินฉุกเฉิน 184 ราย ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การช่วยเหลือ 313 ราย ลงเยี่ยมบ้าน/ประสาน อพม. ติดตามเยี่ยมบ้าน 313 ราย ประสานตรวจเชื้อ 1 ราย และการฟื้นฟู เยียวยาคุณภาพชีวิต ได้แก่ ประสานขอรับทุนพระราชทานมูลนิธิ ราชประชานุเคราะห์ฯ 196 ราย เงินช่วยเหลือจากกองทุนคุ้มครองเด็ก 57 ราย รับเข้าอุปการะ 2 ราย จัดหาครอบครัวอุปถัมภ์/บุญธรรม 3 ราย และช่วยเหลืออื่น ๆ 1 ราย ทั้งนี้ ข้อมูลเด็กกำพร้าจะถูกบันทึกลงในระบบสารสนเทศเพื่อการคุ้มครองเด็ก CPIS เพื่อใช้ในการวางแผนการดูแลและการจัดบริการให้แก่เด็กทั้งระยะสั้นและระยะยาว
อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กล่าวว่า เพื่อปกป้องไม่ให้เด็กอยู่ในภาวะโดดเดี่ยว ศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 จึงจำเป็นต้องระดมพลังเครือข่ายอาสาสมัครดูแลเด็กติดเชื้อ / เด็กกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูงที่อายุไม่เกิน 8 ปี หรือไม่สามารถดูแลตัวเองได้ และอาสาสมัครเลี้ยงดูเด็กชั่วคราวในครอบครัวอุปถัมภ์ โดยเป็นผู้มีประสบการณ์การดูแลเด็กมีความเสี่ยงต่ำจากการติดเชื้อขณะปฏิบัติงาน หรือหากติดเชื้อจะเกิดความรุนแรงของอาการน้อย เช่น เคยมีประวัติการติดเชื้อโควิด-19 มาก่อนหรือได้รับวัคซีนอย่างน้อย 2 ครั้ง อายุไม่เกิน 50 ปี (ยกเว้น อาสาสมัครครอบครัวอุปถัมภ์ ไม่เกิน 65 ปี) ไม่มีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งนี้ อาสาสมัครจะได้รับการสนับสนุนเป็นค่าตอบแทน อุปกรณ์จำเป็น องค์ความรู้การดูแลเด็ก และการให้คำปรึกษาระหว่างปฏิบัติงาน
ในปีงบประมาณ 2565 กระทรวง พม. เตรียมรองรับการจัดสวัสดิการให้กับเด็กและครอบครัว โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนคุ้มครองเด็กให้ความสำคัญในการช่วยเหลือเด็กรายบุคคลโดยการสนับสนุนครอบครัวและครอบครัวอุปถัมภ์ให้ได้รับบริการเพื่อสนับสนุนการดูแลเด็ก โดยจะมีเด็กได้รับความช่วยเหลือประมาณ 1,600 คน นอกจากนี้มีเงินอุดหนุนการให้บริการสวัสดิการเด็กในครอบครัวยากจน
ผู้สนใจสามารถสมัครเป็นอาสาสมัครได้ตั้งแต่วันพุธที่ 8 กันยายน 2564 ผ่านทางออนไลน์ที่เว็บไซต์ และ Facebook กรมกิจการเด็กและเยาวชน www.dcy.go.th และ กสศ. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา www.eef.or.th หรือสมัครโดยตรงได้ที่กองส่งเสริมการพัฒนาและสวัสดิการเด็ก เยาวชน และครอบครัว กรมกิจการเด็กและเยาวชน ตึกดรุณวิถี ภายในบริเวณสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี ในภูมิภาคสมัครได้ที่บ้านพักเด็กและครอบครัวทั้ง 76 จังหวัด
ศาสตราจารย์ สมพงษ์ จิตระดับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ภาคประชาสังคม กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ของกสศ. ในช่วงที่ผ่านมา เราพบว่า เด็กส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบ 80% คือเด็กยากจนด้อยโอกาส ในชุมชนแออัดที่นอกจากเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐานะแล้วยังเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา วันที่เราส่งเพวกเขากลับบ้าน เราจะพบเห็น คลื่นปัญหาที่ต้องเผชิญต่อไปคือ ความยากจน เพราะพ่อแม่ที่ป่วยไข้ก็ตกงาน ไม่ได้กลับไปทำงาน ถูกเลิกจ้าง ไม่มีเงินซื้ออาหาร ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน ไม่นับเรื่องการเรียน ออนไลน์ไม่มีอุปกรณ์ไม่มีความพร้อมใดใด และมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้กลับมาเรียนอีก ภารกิจจากนี้คือ การเยียวยาป้องกันไม่ให้เด็กๆหลุดจากระบบการศึกษา
“สำหรับเด็กกำพร้า เสนอให้รัฐบาล ออกมาตราการเรียนฟรีจนถึงระดับอุดมศึกษา ครอบคลุมทั้งกลุ่มที่สูญเสียพ่อแม่เพราะการติดเชื้อโควิด-19 หรือเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายจากวิกฤติเศรษฐกิจ นอกจากนี้ต้องให้คำแนะนำแก่ครูและโรงเรียน ในการเตรียมความพร้อมเพื่อดูแลเด็กนักเรียนที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักหรือสมาชิกครอบครัวจากวิกฤตโควิด-19 โดยแม้เด็กจะกลับมาเข้าห้องเรียนได้ แต่สภาพจิตใจอาจยังไม่พร้อมสมบูรณ์ ”
แพทย์หญิงดุษฎี จึงศิรกุลวิทย์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เด็กๆที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์สูญเสียชีวิตของผู้ดูแลหลัก หากไม่ได้รับการฟื้นฟูเยียวยาจิตใจที่เหมาะสม จะกลายเป็นปัญหาต่อเนื่องทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว จึงได้เตรียมมาตรการสร้างพื้นที่พักพิงทางจิตใจและสังคม (Psychosocial Care) ร่วมกัน ระยะสั้นคือการปฐมพยาบาลทางจิตใจสำหรับเด็กที่มีความเข้มแข็งทางใจอยู่แล้วให้ฟื้นคืน โดยอาจไม่จำเป็นต้องพบนักจิตวิทยาเด็ก ระยะกลางคือเด็กที่มีปัญหาเดิมอยู่แล้วเมื่อมาเจอกับความสูญเสีย กลุ่มนี้ต้องนำสู่กระบวนการรักษาเต็มรูปแบบทันที ส่วนในระยะยาวหมายถึงการฟื้นฟูทางสังคมและจิตใจร่วมกัน ด้วยการติดตามจากเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยเด็กในการปรับตัวและเป็นที่ปรึกษาให้กับครอบครัวอุปถัมภ์
“เราได้เดินหน้าโครงการ ‘หนึ่งบ้านหนึ่งโรงพยาบาล’ ใช้โครงสร้างการทำงานร่วมกับพื้นที่ ซึ่งกรมกิจการเด็ก ฯ มีบ้านพักรองรับเด็กอยู่แล้วในทุกจังหวัด หลายพื้นที่มีการทำงานกับโรงพยาบาลอยู่แล้ว รูปแบบที่ตามมาคือการนำชุมชนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาช่วยสนับสนุนปัจจัยต่าง ๆ ให้เด็ก ในส่วนของกรมสุขภาพจิตเราได้สำรวจเครือข่ายในทุกจังหวัด พบว่ามีความพร้อมขับเคลื่อนการดูแลเด็กทั้งระยะสั้น กลาง และยาวไปด้วยกัน สำหรับบางพื้นที่ที่มีความพร้อมน้อย กรมสุขภาพจิตและทีมโรงพยาบาลจังหวัดนั้น ๆ พร้อมหนุนเสริมเต็มกำลังเพื่อให้การดูแลทำได้ทั่วถึง
นางสาวนิโคล่า บลั้น รักษาการหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองเด็ก องค์การยูนิเซฟประเทศไทย กล่าวว่า ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก หรือ UNCRC ระบุไว้ว่า เด็กมีสิทธิที่จะเติบโตในครอบครัวตัวเอง ดังนั้นในความช่วยเหลือเด็กที่สูญเสียผู้ดูแลจากสถานการณ์โควิด-19 จำเป็นต้องมองไปที่สมาชิกครอบครัวที่เหลืออยู่ก่อน หรือใช้การดูแลทดแทนในระยะสั้น พร้อมสนับสนุนให้ครอบครัวมีศักยภาพที่เหมาะสมในการดูแลเด็ก ส่วนการแยกเด็กออกมากอยู่ในสถานสงเคราะห์หรือครอบครัวอุปถัมภ์ ควรเป็นทางเลือกสุดท้าย
ยูนิเซฟได้ จัดทำคู่มือการดูแลเด็กเมื่อต้องแยกจากครอบครัว เพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด และมุ่งช่วยเหลือให้กลับมาอยู่กับครอบครัวได้ในระยะเวลาสั้นที่สุด ด้วยการดูแลแบบ Family Base Alternative Care หรือทางเลือกในการดูแลแบบครอบครัว ที่สร้างพื้นที่ ‘บ้าน’ สำหรับเด็ก โดยให้เข้าไปอยู่กับครอบครัวทดแทนในระยะสั้น เพื่อเป็นการปรับตัว ก่อนมองหาครอบครัวอุปถัมภ์ระยะยาวสำหรับเด็ก ด้วยวิธีนี้จะทำให้เด็กไม่ต้องเข้าไปอยู่ในสถานสงเคราะห์ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อจิตใจมากกว่า
“รัฐจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการสร้างระบบการช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบ โดยสนับสนุนทั้งสิ่งของ งบประมาณ และจิตใจให้กับเด็กและครอบครัว รวมถึงผลักดันให้เข้าถึงงานสังคมสงเคราะห์ บริการสาธารณสุข มีสวัสดิการและความคุ้มครองทางสังคมรองรับ โดยจัดทำฐานข้อมูลและระบบบริหารจัดการที่ช่วยชี้เป้าและติดตามครอบครัวของเด็กกลุ่มเสี่ยงได้ อาทิ ครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว เด็กที่อยู่กับปู่ย่าตายายลำพัง รวมไปถึงข้อมูลของเด็กกลุ่มเปราะบางทั้งหมด”
. นางสาวนิโคล่า กล่าวว่า ทุกการตัดสินใจเด็กต้องได้มีส่วนร่วม มีสิทธิในการเลือกอนาคตของตนเอง ไม่ใช่การวางแผนโดยหน่วยงานหรือผู้ใหญ่โดยที่เด็กไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย ซึ่งนี่คือการจัดการที่รัฐทำได้ผ่านเครื่องมือและกลไก และต้องมีการทำงานที่ประสานความร่วมมือหลายภาคส่วน มององค์รวมของปัญหาที่ต้องลึกลงไปในหลายมิติแง่มุมของมนุษย์