“บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” กับ ความสำเร็จที่ไม่มีใครตามทัน


การแข่งขันฟุตบอลไฮลักซ์ รีโว่ ไทยลีก 2023/24 ได้รูดม่านปิดฉากไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับเกมสุดท้าย (แมตช์ที่ 30) เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา โดย “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่การันตีคว้าแชมป์ไทยลีกได้แน่นอนแล้ว เปิดบ้านที่สนามช้างอารีนา จ.บุรีรัมย์ ไล่ถล่มใส่ “จงอางผยอง” ขอนแก่น ยูไนเต็ด อย่างไม่ยั้ง ด้วยสกอร์ขาดลอยถึง 8-2 ทำให้จบฤดูกาล 2023/24 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เก็บไปได้ทั้งหมด 69 คะแนน คว้าแชมป์ไทยลีกสมัยที่ 9 อย่างไม่มีพลิกโผ


ที่สำคัญ ยังเป็นการคว้าแชมป์ไทยลีก 3 สมัยติดต่อกันได้อีกครั้ง หลังจากเคยคว้าแชมป์ไทยลีกติดต่อกัน 3 สมัยมาแล้วครั้งแรกในปี 2013, 2014, 2015 นับเป็น “ทีมแรก” และ “ทีมเดียว” ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทยที่สามารถทำได้ โดยแม้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดจะเริ่มต้นฤดูกาลนี้ได้ไม่ดีนัก แต่สุดท้ายแล้ว คุณเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร และคุณกรุณา ชิดชอบ ก็โชว์ฝีมือการบริหารจัดการทีมได้อย่างมหัศจรรย์ แก้ปัญหาได้รวดเร็วตรงจุด ทำให้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาแซงคู่แข่งอย่าง แบงค็อก ยูไนเต็ด จนคว้าแชมป์ได้ในที่สุด


ส่วน ศุภชัย ใจเด็ด กองหน้าตัวเก่ง ก็สามารถคว้าตำแหน่งดาวซัลโวไปได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน จากผลงานการทำประตูในลีกได้ถึง 21 ลูก นับเป็นนักเตะไทยคนแรกในรอบ 15 ปี ที่สามารถคว้าตำแหน่งดาวซัลโวไทยลีกได้ 2 ปีซ้อน


ในขณะที่กองหลังลูกหม้อของทีมอย่าง ชิติพัทธ์ แทนกลาง หรือ CT14 ที่อยู่กับสโมสรมาตั้งแต่ปี 2012 ก็ตัดสินใจแขวนสตั๊ด อำลาสนามในแมตช์นี้เช่นกัน โดยชิติพัทธ์นับเป็นนักฟุตบอลที่เล่นกับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เพียงสโมสรเดียวตลอดอาชีพการค้าแข้ง นี่คือ One Club Man ที่แท้จริง


หลังจบการแข่งขันแมตช์นี้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้มีการเฉลิมฉลองตำแหน่งแชมป์ไทยลีกสมัยที่ 9 อย่างยิ่งใหญ่ต่อหน้าแฟนบอลมากถึง 32,222 คนที่เข้ามาชมเกมจนเกือบเต็มความจุของสนาม (สนามช้างอารีนามีความจุ 32,600 ที่นั่ง) เรียกได้ว่าสนามเล็กลงไปถนัดตาเพราะอัดแน่นไปด้วยแฟนบอลปราสาทสายฟ้าที่ต้องการเข้ามาสัมผัสบรรยากาศการฉลองแชมป์ส่งท้ายฤดูกาล


เสียงเพลง We are the Champions (วี อาร์ เดอะ แชมเปี้ยนส์) ดังกึกก้องไปทั่วสนาม พร้อม ๆ กับการแสดงพลุสุดตระการตาที่ยิงขึ้นฟ้าเหนือสนามช้างอารีนา ตามมาด้วยเสียงปรบมือและการกู่ร้องด้วยความดีใจของแฟนบอล ถือเป็นการปิดฉากฤดูกาลอย่างน่าประทับใจ และยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นอีกครั้งว่า ปราสาทสายฟ้ายังคงเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประเทศไทย โดยเป็นทีมเดียวที่ได้แชมป์ไทยลีกสูงสุดถึง 9 สมัย ได้แก่ 2011 , 2013 , 2014 , 2015 , 2017, 2018 , 2021/22 , 2022/23 และปีล่าสุด 2023/24

ก่อนการแข่งขันทุกแมตช์ เนวิน ชิดชอบ มักจะพูดปลุกใจนักกีฬาในทีมเสมอว่า “มีเท่าไหร่ ใส่ให้หมด” จึงไม่น่าแปลกใจที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะเป็นทีมที่มีคาแรคเตอร์ของนักสู้อย่างชัดเจน ด้วยการ “สู้สุดหัวใจ” ในทุกเกมการแข่งขัน ทำให้พวกเขามักจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้เสมอ ดังเช่นผลงานที่เห็นในฤดูกาลนี้ ที่แม้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดจะเริ่มต้นได้ไม่ดีนักในเลกแรก แต่สุดท้ายก็พลิกสถานการณ์กลับมาจนคว้าแชมป์ได้สำเร็จ

จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงทีมเล็ก ๆ เมื่อ 14 ปีที่แล้ว ในวันนี้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 15 ของสโมสร ด้วยการเป็นสุดยอดทีมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศซึ่งยังไม่มีใครสามารถโค่นลงได้ เป็นสโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดจากบุรุษผู้อยู่เบื้องหลังนามว่า “เนวิน ชิดชอบ” พร้อมด้วยคนข้างกายอย่าง “กรุณา ชิดชอบ” ที่จับมือกันเดินหน้าพัฒนาสโมสรอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อความสุขของแฟนบอล และตอบแทนความไว้วางใจของผู้สนับสนุนที่อยู่เคียงข้างกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มาโดยตลอด


ไม่เพียงแต่ผลงานในสนามเท่านั้นที่ทำให้แสงสปอตไลท์ส่องมายังบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เพราะนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพันธกิจหลัก (Mission) จากแผนยุทธศาสตร์ที่ เนวิน ชิดชอบ ได้ตั้งเป้าเอาไว้เท่านั้น แต่การสร้างสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ให้เป็นองค์กรกีฬาต้นแบบของประเทศไทย รวมถึงใช้ “กีฬา” สร้างเมืองบุรีรัมย์ ให้กลายเป็นเมืองหลัก ไม่ใช่แค่เมืองผ่าน นั่นต่างหาก คือ เป้าหมายใหญ่ของผู้ชายคนนี้


เมื่อพันธกิจหลัก คือ ใช้กีฬาสร้างเมือง ถูกกำหนดให้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ฟันเฟืองต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักกีฬา สตาฟโค้ช เจ้าหน้าที่ทีมทุกชีวิต ตั้งแต่ฝ่ายบริหาร ฝ่ายปฏิบัติงาน ไม่เว้นแม้แต่แม่บ้านทำความสะอาด ล้วนแต่ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม จนสอดประสานให้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กลายเป็นองค์กรกีฬาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศไทย คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้มากที่สุดถึง 9 สมัย และยังเป็นการได้แชมป์ไทยลีก 3 สมัยต่อเนื่อง ถึง 2 ครั้ง ซึ่งยังไม่มีทีมใดเคยทำได้มาก่อน


เป็นทีมที่มีระบบอะคาเดมีที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศ สามารถสร้างนักกีฬาดาวรุ่งฝีเท้าเด่น วินัยดี ทัศนคติเยี่ยม ให้เข้าสู่วงการฟุตบอลอาชีพได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น สุภโชค สารชาติ ที่ปัจจุบันโดดเด่นอยู่ในเจลีกกับสโมสรคอนซาโดเล ซัปโปโร หรือ ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ที่สร้างประวัติศาสตร์เป็นคนไทยคนแรกที่ได้ลงเล่นในเบลเจียน โปรลีก (ลีกสูงสุดของเบลเยียม) กับสโมสรโอเอช ลูเวิ่น และเป็นคนแรกที่ทำประตูได้ด้วย

ปัจจุบัน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อะคาเดมี ภายใต้การบริหารของ “ชนน์ชนก ชิดชอบ” (ลูกชายของเนวิน ชิดชอบ) ก็ยังสร้าง ธนกฤต โชติเมืองปัก ดาวรุ่งฝีเท้าจัดจ้าน อายุเพียง 17 ปี ให้ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญให้กับทีมชุดใหญ่แทนที่ สุภโชค และ ศุภณัฏฐ์ ได้แล้ว


นอกจากนี้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยังมีสนามแข่งขันสุดยิ่งใหญ่อย่าง “ช้างอารีนา” ที่มีมาตรฐานระดับโลก เคยได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร Four Four Two ให้อยู่ใน 100 อันดับแรกของสนามฟุตบอลที่สวยที่สุดในโลกมาแล้ว ในวันที่มีการแข่งขันฟุตบอลของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะมีแฟนบอลเข้ามาชมเกมในสนาม เฉลี่ยแล้วมากกว่า 20,000 คนต่อแมตช์ ถือเป็นทีมที่มียอดผู้ชมในสนามสูงที่สุดในลีกทุกปี โดยนอกจากการแข่งขันฟุตบอลแล้ว สนามแห่งนี้ก็สามารถจัดกิจกรรมพิเศษอื่น ๆ เช่น คอนเสิร์ต ที่รองรับผู้ชมจำนวนมากได้ ดังที่สโมสรเคยจัดมาแล้ว และมีคนมาร่วมงานมากกว่า 500,000 คนเลยทีเดียว ดังนั้น บุรีรัมย์ในวันนี้ จึงไม่ได้เป็นแค่ “เมืองผ่าน” อีกต่อไป


บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยังมีเสื้อแข่งขันที่เป็น Soft Power ของสโมสรด้วย หรือ หากจะพูดว่าเป็น Soft Power ประจำจังหวัดบุรีรัมย์เลยก็คงไม่ผิดนัก ในแต่ละปี สโมสรสามารถขายเสื้อแข่งขันได้ไม่ต่ำกว่า 300,000 ตัว ถือเป็นสโมสรฟุตบอลที่มียอดขายสินค้าที่ระลึกสูงที่สุดในประเทศไทย และยิ่งผลงานในสนามประสบความสำเร็จมากเท่าใด ยิ่งทำให้แบรนด์ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กลายเป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงขึ้นเรื่อย ๆ สินค้าประเภทใดก็ตาม เมื่อติดแบรนด์บุรีรัมย์ ยูไนเต็ดเข้าไปแล้ว ยิ่งทำให้สินค้าประเภทนั้นมีมูลค่าสูงขึ้น จนเป็นที่ต้องการของแฟนบอลมากขึ้นไปด้วยทันที


แม้จะประสบความสำเร็จทั้งด้านผลงานในสนาม และด้าน Branding ที่ทำให้ทีมมีมูลค่าทางการตลาดสูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจกีฬา แต่ เนวิน ชิดชอบ ก็ยังไม่ลืมที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งเป็นพันธกิจหลักที่องค์กรชั้นนำทุกแห่งล้วนต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เริ่มต้นโปรเจคแรกในปี 2019 ที่ครบรอบ 10 ปีของสโมสร ด้วยการนำขวดน้ำพลาสติกมารีไซเคิลเป็นเส้นใยเพื่อนำมาผลิตเป็นเสื้อที่ระลึก 10 ปี และนับตั้งแต่ปี 2020 มาจนถึงปัจจุบัน คอลเลคชั่นเสื้อแข่งขันไทยลีก “ทุกตัว” ของสโมสรล้วนถูกผลิตขึ้นโดยเส้นใยที่รีไซเคิลจากขวดน้ำพลาสติกทั้งสิ้น โดยเสื้อ 1 ตัว ทำจากขวดพลาสติกราว 10-14 ขวด หากนับรวม ๆ ตั้งแต่ปี 2019 มาจนถึงปัจจุบัน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ช่วยทำลายขวดพลาสติกให้โลกใบนี้ไปแล้ว ไม่ต่ำกว่า 20 ล้านขวดเลยทีเดียว


ทั้งหมดนี้ คือ ความสำเร็จที่เกิดจากการตั้งเป้าหมายอย่างยิ่งใหญ่ ชัดเจน และวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ ใส่ใจในทุกรายละเอียด ให้ความสำคัญกับทุกฟันเฟืองที่หลอมรวมจน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กลายมาเป็นองค์กรกีฬามืออาชีพที่บริหารสโมสรฟุตบอลให้ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศไทย ภายใต้การนำของชายที่ชื่อว่า “เนวิน ชิดชอบ”

You May Also Like

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *