![](https://hotspotstation111.com/wp-content/uploads/2021/07/IMG_20210706_3475.jpg)
วันจันทร์ที่ 5 กรกฏาคม 2564 ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว. กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้มีการจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง กรมวิทยาศาสตร์บริการ กับ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย โดยมี นางสาวนีระนารถ แจ้งทอง รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ และนายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยเป็นผู้แทนลงนาม
![](https://hotspotstation111.com/wp-content/uploads/2021/07/IMG_20210706_4107.jpg)
ภายในงานได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานกล่าวต้อนรับ พร้อมด้วย ผศ.ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการฯ และโฆษก อว. และศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัด อว. ให้เกียรติเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามครั้งนี้ด้วย
วัตถุประสงค์ในการลงนามครั้งนี้เพื่อขับเคลื่อนงานบริการทางวิทยาศาสตร์ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยในพื้นที่ภูมิภาคทั่วประเทศและชุมชนท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
![](https://hotspotstation111.com/wp-content/uploads/2021/07/IMG_20210706_539-1.jpg)
![](https://hotspotstation111.com/wp-content/uploads/2021/07/IMG_20210706_37790-1.jpg)
![](https://hotspotstation111.com/wp-content/uploads/2021/07/IMG_20210706_5721-1.jpg)
![](https://hotspotstation111.com/wp-content/uploads/2021/07/IMG_20210706_18486-1.jpg)
![](https://hotspotstation111.com/wp-content/uploads/2021/07/IMG_20210706_11187-1.jpg)
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า หนึ่งในนโยบายที่ให้ความสำคัญคือการทำให้ภาพกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นกระทรวงแห่งการพัฒนา สร้างโอกาสให้กับประเทศชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ให้กับประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม จากการศึกษาวิจัยที่ชัดเจน รวดเร็ว เป็น Transformative Demand Pull สามารถทำงานจริงจากความต้องการของประเทศและภาคธุรกิจ หากจะกล่าวถึงภาคธุรกิจอุตสาหกรรมที่ประกอบไปด้วยวิสาหกิจขนาดใหญ่ และ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ ที่เรียกกันในนามผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละกว่า 99.8 (ข้อมูลจากปี 2563) ของจำนวนวิสาหกิจทั้งประเทศ โดยจะเห็นได้ว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีความสำคัญต่อภาคธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง ในฐานะหน่วยงานภาครัฐจึงเห็นควรพัฒนาศักยภาพ SMEs ของไทยเพื่อให้มีแต้มต่อในการดำเนินธุรกิจโดยการใช้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในการส่งเสริมและตอบโจทย์ความต้องการของภาค SMEs อย่างแท้จริง
![](https://hotspotstation111.com/wp-content/uploads/2021/07/IMG_20210706_44954.jpg)
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย จะเป็นต้นแบบในการนำงานบริการวิทยาศาสตร์และวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมตามที่ตกลงร่วมกัน มาใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมเพื่อผู้ประกอบการในการพัฒนาระบบคุณภาพกระบวนการผลิตสินค้า และยังเป็นการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์สินค้าของผู้ประกอบการให้มีคุณภาพตามมาตรฐานกำหนดไว้ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจในระดับสากล
![](https://hotspotstation111.com/wp-content/uploads/2021/07/IMG_20210706_27252-1.jpg)
นายแสงชัยกล่าวต่อว่า ปัจจุบันสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยมีสมาชิกเป็นเอสเอ็มอี กว่า 100,000 ราย โดยมีเอสเอ็มอีขนาดเล็กที่มีรายได้เพียงปีละ 1.8ล้านบาทในสัดส่วน60-70% จะมีเอสเอ็มอีขนาดกลางและใหญ่ในสัดส่วน 20% และ 10 % ตามลำดับ ที่ผ่านมาการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของสมาชิกกลุ่มขาดการทำวิจัย เพราะไม่มีเงินลงทุนในการจ้างนักวิชาการดำเนินการ ทำให้มีสินค้าที่ไม่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้การเข้ามาทำข้อตกลง MOU กับกรมวิทยาศาสตร์บริการ เป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการที่ไม่มีทุนได้เข้าถึงงานพัฒนาวิจัย เป็นการช่วยเอสเอ็มอีขนาดเล็กได้โดยตรงนับเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการ
นางสาวนีระนารถ แจ้งทอง รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ กล่าวว่าความร่วมมือฯครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย โดยการนำงานบริการและวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม มาพัฒนากระบวนการผลิตและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ต่างๆของผู้ประกอบการให้เป็นที่ยอมรับ ตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรม โดยใช้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการกำหนดแผนงานและโครงการร่วมกันทั้งในระดับพื้นที่และภูมิภาค สนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในการนำนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้ รวมถึงการปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐให้มีความกระชับและคล่องตัวมากขึ้น พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายกับองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันอุดมศึกษา และวิทยาลัยชุมชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการช่วยขับเคลื่อน SMEs ที่เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ สามารถเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ นำไปสู่การยกระดับคุณภาพสินค้าของไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก