สอวช. เร่งผลักดัน “พ.ร.ฎ. ยกเว้นภาษี” หนุนการศึกษาเชิงประสบการณ์

สอวช. เร่งผลักดัน “พ.ร.ฎ. ยกเว้นภาษี” หนุนการศึกษาเชิงประสบการณ์ เสริมกลไกสร้างบัณฑิตสมรรถนะสูง จูงใจภาคเอกชนร่วมพัฒนากำลังคนพร้อมคาดการณ์ผลประโยชน์กว่า 1.1 หมื่นล้านบาท

วานนี้ (30 พฤษภาคม 2568) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) จัดประชุมคณะกรรมการอำนวยการ สอวช. ครั้งที่ 4/2568 ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารพระจอมเกล้า (โยธี) กระทรวง อว. และผ่านระบบออนไลน์ โดยมีนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. เป็นประธานการประชุม และมีวาระเสวนาในประเด็นข้อเสนอเพื่อตราพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษี สำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาเชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) โดยความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาและสถานประกอบการ

ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการ สอวช. เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการส่งเสริมและขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเชิงประสบการณ์ ภายใต้คณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษา (กมอ.) มีมติเห็นชอบในการประชุมครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา ให้มีการจัดทำข้อเสนอเพื่อออกพระราชกฤษฎีกายกเว้นภาษีแก่สถานประกอบการที่มีความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาในการจัดการศึกษาเชิงประสบการณ์ อ้างอิงตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. 2562 ซึ่งระบุให้หน่วยงานรัฐหรือเอกชนที่เข้าร่วมสามารถได้รับสิทธิประโยชน์รวมถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร

นางสาวภาณิศา หาญพัฒนนันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมอุดมศึกษาและการพัฒนาทักษะแห่งอนาคต สอวช. กล่าวว่า วัตถุประสงค์หลักของร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ มี 5 ประการ ได้แก่ 1. สร้างความหลากหลายของรูปแบบความร่วมมือ 2. ลดขั้นตอนเพื่อให้เอกชนได้รับสิทธิประโยชน์เร็วขึ้น 3. ยกระดับสู่ระบบดิจิทัล 4. เชื่อมโยงข้อมูลสู่การวิเคราะห์เพื่อวางทิศทางกำลังคน และ 5. กระตุ้นให้สถานประกอบการยกระดับคุณภาพการร่วมผลิตบัณฑิต

ทั้งนี้ กลไกหลักประกอบด้วย 2 แนวทางสำคัญ ได้แก่ 1. การจัดการเรียนการสอนร่วมระหว่างสถานประกอบการกับสถาบันอุดมศึกษา (Co-creation model) ดำเนินการโดยมีสถานประกอบการเข้าร่วมกว่า 100 แห่งต่อปี มุ่งปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด พร้อมเปิดช่องทางให้เอกชนใช้สิทธิประโยชน์ได้อย่างสะดวก โดยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี 250% สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตลอดหลักสูตร รวมถึงการฝึกอบรมตามหลักสูตรที่รับรองโดย สอวช. 2. การปฏิบัติงานจริงในสถานประกอบการ (Internship) ครอบคลุมสถานประกอบการกว่า 10,000 แห่ง รองรับนักศึกษากว่า 60,000 – 100,000 คนต่อปี โดยนักศึกษาต้องฝึกงานไม่น้อยกว่า 120 วัน ซึ่งสถานประกอบการสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามมาตรการ Thailand Plus Package ได้

“ในปี 2565 มีผู้สำเร็จการศึกษาในระบบนี้แล้วกว่า 9,000 คน และเกิดการจ้างงานในสาย STEM กว่า 8,000 ตำแหน่ง จากสถานประกอบการ 150 แห่งทั่วประเทศ” ดร.ภาณิศา กล่าว

นอกจากนี้ คาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนบัณฑิตที่มีศักยภาพพร้อมทำงานทันทีได้อย่างน้อย 100,000 คน (จากปัจจุบันที่ 60,000 คน) สร้างมูลค่า GDP เพิ่มขึ้นกว่า 11,682 ล้านบาท และช่วยสถานประกอบการลดต้นทุนการสรรหาบุคลากรกว่า 3,600 ล้านบาท มีบริษัททั้งในและต่างประเทศลงทุนด้านการศึกษาอย่างน้อย 17,000 แห่ง พร้อมมีระบบฐานข้อมูลกลางเพื่อการวิเคราะห์และวางแผนการผลิตกำลังคนเชิงลึกในอนาคต

ด้าน ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การจัดการศึกษาเชิงประสบการณ์ถือเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนากำลังคนของประเทศ แต่ปัจจุบันหลักสูตรที่อยู่ในเครือข่ายการศึกษาเชิงประสบการณ์มีเพียง 30% จากทั้งหมดกว่า 9,000 หลักสูตร โดยตั้งเป้าว่าในปีหน้าควรเพิ่มเป็น 50%

“อุปสรรคสำคัญยังคงเป็นการหาสถานประกอบการรองรับนักศึกษา 120 วัน ซึ่งหลายแห่งยังมองว่าเป็นภาระ การออกมาตรการลดหย่อนภาษีจึงเป็นกลไกสำคัญที่จะเปลี่ยน ‘ภาระ’ ให้เป็น ‘โอกาส’” ศ.ดร.ศุภชัย กล่าว

ขณะที่ ภาคอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมการเสวนาเห็นพ้องกับแนวทางดังกล่าว และเสนอให้ขยายสัดส่วนหลักสูตรที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมโดยตรง รวมถึงให้ความสำคัญกับมาตรการความปลอดภัยในหลักสูตร เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกการทำงานในอนาคต

“วัตถุประสงค์ของข้อเสนอนี้คือการเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ปฏิบัติงานจริงในสถานประกอบการ ลดช่องว่างทักษะ พร้อมพัฒนาหลักสูตรร่วมกับภาคเอกชน และปรับปรุงกระบวนการบริหารสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ ลดขั้นตอน เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินงาน” ดร.สุรชัย กล่าว

You May Also Like

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *