สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดตัวโครงการยกระดับเทศกาล “Pride Thailand สู่เวทีโลก: การผลักดันต้นแบบความโอบรับของเทศกาลไทยสู่สากล” โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้พลังจากงานวิจัยขับเคลื่อนเทศกาลไทยสู่การยอมรับระดับสากล
.jpg)
ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการ สอวช. ได้กล่าวถึงแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของรัฐบาล โดยเฉพาะมิติที่เชื่อมโยงกับงานเทศกาล ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่ยังมีศักยภาพสูงในการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับประเทศ เทศกาลที่ดี จึงต้องตอบโจทย์เศรษฐกิจร่วมสมัย ต้องมีการออกแบบเชิงระบบ และคำนึงถึงการใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ควบคู่ไปกับด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ รวมถึงใช้การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) เข้าไปช่วยสนับสนุนให้เกิดงานเทศกาลที่ตอบโจทย์ผู้เข้าร่วมงาน และใช้ข้อมูลจากงานวิจัย มาจัดทำนโยบาย กลไกต่าง ๆ เพื่อพัฒนาให้เทศกาลไทยไปสู่สากลได้
ดร.สุรชัย กล่าวต่อว่า สอวช. เห็นโอกาสในการใช้ศักยภาพการออกแบบและพัฒนางานเทศกาลในเชิงนโยบาย จึงได้จับมือกับ นิด้า เพื่อออกแบบกลไกเชิงนวัตกรรม และศึกษาความเป็นไปได้ในการยกระดับเทศกาลไปสู่ระดับนานาชาติ และหนึ่งในต้นแบบสำคัญคือ Pride Festival ที่ไม่ใช่เพียงงานเฉลิมฉลองความหลากหลาย แต่คือเทศกาลร่วมสมัยที่เชื่อมโยงระหว่าง Soft Power อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ กฎหมายสมรสเท่าเทียม และนโยบายของรัฐที่สะท้อนภาพลักษณ์ของไทยในฐานะประเทศที่เปิดกว้าง ยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชน และพร้อมโอบรับวัฒนธรรมโลก
ผศ.ดร.โชคชัย สุเวชวัฒนกูล อาจารย์ประจำคณะการจัดการการท่องเที่ยว นิด้า กล่าวว่า งานเทศกาลเป็นเครื่องมือของการส่งต่อคุณค่าร่วมของสังคมผ่านจิตวิญญาณแห่งงานเทศกาล ที่ทั้งโอบรับ หยั่งราก และเชื่อมต่อกับอนาคต
เราเชื่อว่าเทศกาลสร้างสรรค์สามารถหล่อหลอมเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความเท่าเทียม ให้กลายเป็นพลังสำคัญของสังคมไทยในการยืนอยู่บนเวทีโลกอย่างสง่างาม โดยการค้นพบจิตวิญญาณแห่งงานเทศกาลเป็นผลพวงจากการกำหนดกรอบการวิจัย “โครงการศึกษาเชิงนโยบายและพัฒนากลไก อววน. เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวประเภทงานเทศกาลท้องถิ่นสู่ระดับสากล” จากการศึกษางานวิจัยจำนวน 46 งานวิจัย พบว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ จิตวิญญาณของงานเทศกาลที่สามารถส่งต่อเรื่องราว คุณค่า และความหมาย ไปยังสังคมได้อย่างลึกซึ้งสามารถต่อยอดให้เป็นพลังเชิงสร้างสรรค์ได้ในระดับโลก
ในโอกาสนี้ ยังได้มีการจัดเวทีเสวนาเพื่อเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และมุมมองเกี่ยวกับบทบาทของเทศกาลในการส่งเสริมภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของสังคมไทยในเวทีสากล
นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่าเทศกาลคือเครื่องมือสะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น จุดประกายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในเมือง และเป็นเวทีสำคัญในการดึงอัตลักษณ์ของผู้คนและชุมชนในเมืองให้โลกรู้ว่า เรามีอะไรดี โดยกรุงเทพมหานครมีแนวคิดสนับสนุนงานเทศกาลผ่านนโยบาย “12 เดือน 12 เทศกาล” ซึ่งงาน Pride Festival ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญที่สะท้อนถึงแนวคิดความเท่าเทียม ความหลากหลาย และเปิดกว้าง
รอง ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวเพิ่มเติมว่า เทศกาลต่าง ๆ คือยอดของภูเขาน้ำแข็งซึ่งเบื้องล่างยังมีโครงสร้างรองรับขนาดใหญ่ คือ อุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่สามารถเติบโตและเชื่อมโยงได้ หากได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม เทศกาลต้องไม่ใช่เพียงการจัดงานเพื่อตอบรับกระแส แต่ควรมีความต่อเนื่องในเชิงนโยบาย ทั้งในระดับเมืองและระดับองค์กร เช่น การพัฒนาแนวทาง Pride Badge ซึ่งต้องเชื่อมโยงกับนโยบายของบริษัทหรือภาคเอกชนในการยอมรับความหลากหลาย ขณะเดียวกันแต่ละองค์กรจะต้องมีกรอบแนวคิด DEI – Diversity, Equity, and Inclusion ซึ่งไม่ใช่เพียงแนวคิดทางสังคม แต่เป็นโครงสร้างที่ช่วยสร้างเศรษฐกิจใหม่ในเมืองที่เปิดรับความแตกต่าง และใช้ Soft Power อย่างยั่งยืน
ด้านนายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ (มหาชน) และ อนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านเฟสติวัล เล่าถึงประสบการณ์ในฐานะตัวแทนประเทศไทยที่ได้ทำงานในเวทีระดับนานาชาติ สิ่งที่ค้นพบคือประเทศไทยเป็นสังคมเปิด ที่มีอิสระและเสรีภาพสูงมาก เรามีทรัพยากรทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งสามารถต่อยอดได้อย่างมหาศาล ประเทศไทยจึงควรยกระดับเทศกาลให้มีความร่วมสมัย พร้อมผลักดันให้เทศกาลไทยไปไกลถึงต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสร้างความแตกต่างจากงานเดิม ๆ และสร้างผลทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ นอกจากนี้ ประเทศไทยควรวางตำแหน่งให้ชัดในระดับนโยบายว่า เราคือประเทศแห่งเทศกาล “ We are Country of Festivals” พร้อมเดินหน้าพัฒนาเทศกาลให้เป็น World-Class Festival
นายภัทร เลิศสุกิตติพงศา ผู้ก่อตั้ง Drag Bangkok Festival และอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านศิลปะการแสดง กล่าวว่า Pride Festival ไม่ใช่แค่การจัดงาน แต่คือการวางแผนร่วมกับชุมชนจากรากฐานของการเรียกร้องสิทธิ เพื่อสร้างระบบนิเวศทางวัฒนธรรมใหม่ให้กับเมือง ซึ่งการจัดงานในเดือนมิถุนายนก็เพื่อเชื่อมโยงกับวันสำคัญระดับนานาชาติ โดยในปัจจุบันพลังของเทศกาลได้แปรเปลี่ยนเป็นเวทีของการเฉลิมฉลองความก้าวหน้า เช่น ในปีนี้ที่ประเทศไทยผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมได้สำเร็จสำหรับสิ่งที่ต้องการจากการทำวิจัย คือ การเข้าใจมวลชน และเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ เพื่อประเมินทิศทางของเทศกาล
ในแต่ละปี เช่น ปีนี้อาจเน้นเรื่องการสมรสเท่าเทียม ปีถัดไปอาจเกี่ยวข้องกับสิทธิในการสร้างครอบครัว หรือบทบาทของธุรกิจแฟชั่น ความงาม และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ถ้ามีข้อมูลที่แม่นยำเกี่ยวกับมวลชน เทศกาลจะไม่ใช่แค่กิจกรรม แต่จะกลายเป็นนโยบายวัฒนธรรมที่ขับเคลื่อนได้จริง นอกจากนี้ การวางแผนจัดงานในแต่ละจังหวัดอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ คืออีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยให้ Pride ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงพื้นที่เมืองหลวง
แต่กระจายพลังความเข้าใจและการยอมรับไปสู่สังคมวงกว้าง
รศ.วงกต วงศ์อภัย รองผู้อำนวยการ สอวช. ให้ความเห็นว่าเทศกาลคือพื้นที่ที่มนุษย์สร้างเพื่อเรียนรู้การอยู่ร่วมกัน เทศกาล สงกรานต์ ลอยกระทง หรือแม้แต่พิธีพราหมณ์ ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น เพื่อให้คนแปลกหน้าได้รู้จักกัน เกิดการเชื่อมโยงกันทางสังคม เหมือนกับเทศกาล Pride Month ที่ไม่ใช่แค่เฉลิมฉลอง แต่คือการเปิดพื้นที่ให้มนุษย์ได้แสดงตัวตนในช่วงเวลาที่เหมาะสมและปลอดภัย ซึ่งในมุมของ สอวช. ซึ่งมีหน้าที่ขับเคลื่อนนโยบายด้วยวิชาการ ควรให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัย และความสบายใจทางจิตใจ โดยต้องสร้างกระบวนการฟังเสียงจากนักวิจัย เพื่อเชื่อมต่อกับความต้องการของสังคมอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันจีดีพีของประเทศกำลังประสบปัญหา เนื่องจากอุตสาหกรรมหลักพัฒนาไม่ทัน แต่ภาควัฒนธรรมและบริการขับเคลื่อนได้เร็วกว่า รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจวัฒนธรรมใช้เวลาและทรัพยากรน้อยกว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก
ดังนั้นหากรัฐต้องการฟื้นเศรษฐกิจหลังวิกฤต ควรให้ความสำคัญกับภาคบริการและวัฒนธรรมที่สามารถแทรกเข้าไปได้ในทุกสังคม
ผศ.ดร.โกสินทร์ ปัญญาอธิสิน อาจารย์ประจำคณะภาษาและการสื่อสาร นิด้า ในฐานะหัวหน้าโครงการฯ ได้กล่าวถึงแนวทางการดำเนินงานในโครงการว่า เราจะทำการศึกษาความต้องการในการพัฒนาเทศกาลขนาดใหญ่ ให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในระดับสากล นอกจากนี้ ยังได้สำรวจความต้องการจำเป็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ศึกษาตัวอย่างความสำเร็จจากต่างประเทศ สร้างข้อเสนอเชิงกลไกเพื่อพัฒนาและจัดเทศกาลขนาดใหญ่ในประเทศไทย โดยมีกรอบดำเนินการ ประกอบด้วย 5 แกนหลัก ได้แก่องค์ความรู้ของ อววน. การรับฟังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียการอนุรักษ์วัฒนธรรม ธุรกิจเพื่อสังคม และการพัฒนาเชิงพื้นที่ เพื่อให้ได้ข้อเสนอเชิงกลไก ยกระดับเทศกาลให้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนประเทศไทยในเวทีโลกอย่างยั่งยืน